21:13:44 การศึกษาของเวียดนาม |
การศึกษาของเวียดนาม การศึกษาสามัญ 12 ปี (General Education) ของเวียดนามนั้นเวียดนามมีวัตถุประสงค์ที่จะ
ให้ประชาชนได้มีวิญญาณในความเป็นสังคมนิยม มีเอกลักษณ์ประจำชาติ
และมีความสามารถในด้านอาชีพ ในอดีตการศึกษาสามัญของเวียดนามมีเพียง
10 ปีเท่านั้น และไม่มีอนุบาลศึกษามาก่อนจนถึงปีการศึกษา 2532
- 2533 จึงมีการศึกษาถึงชั้นปีที่ 9 ทั้งประเทศ
ซึ่งได้เรียกการศึกษาสามัญ 9 ปี
ดังกล่าวนี้ว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน (Basic Education) และเมื่อได้ขยายไปถึงปีที่
12 แล้วจึงได้เรียกการศึกษาสามัญ 3 ปีสุดท้ายว่า
มัธยมชั้นสูง (Upper Secondary School) ปี 2535-2536 ระบบการศึกษาสามัญในเวียดนามจึงกลายเป็นระบบ 12 ชั้นเรียนทั้งประเทศ
โดยเด็กที่เข้าเรียนในชั้นปีที่ 1 จะมีอายุย่างเข้าปีที่ 6
เมื่อเวียดนามได้ใช้ระบบการศึกษาเป็น 12 ปีแล้ว จำนวนนักเรียนในทุกระดับชั้นยังมีน้อย ดังนั้นปี 2534 สภาแห่งชาติของเวียดนามจึงได้ออกกฎหมายการกระจายการศึกษาระดับประถมศึกษา (Law
of Universal Primary Education) ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกว่าด้วยการศึกษาของเวียดนาม ปัญหาจากวิธีการศึกษาของคนเวียดนามในปัจุบัน เขียนโดยสิริวงษ์ หงษ์สวรรค์ อาจารย์สอนภาษาเวียดนาม ประจำสาขาวิชาภาษาและวรรณคดีตะวันออก
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี สรุปความได้ว่า แม้ว่าครอบครัวของเวียดนามเกือบทุกครอบครัว
จะให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการลงทุนเรื่องการศึกษาของลูกอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการศึกษาของเวียดนามก็ยังประสบปัญหาอยู่
เนื่องจากหลักสูตรการเรียนของเวียดนามตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับ
มหาวิทยาลัยจะเน้นการเรียนการสอนแบบให้ผู้เรียนต้องเรียนแบบ Học vẹt. (ห็อก แหว็ต) แปลว่า "เรียนแบบนกแก้ว”
หมายถึง เรียนแบบท่องจำ
ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนกับไทยเราในสมัยก่อนที่เน้นให้ผู้เรียนท่องจำแบบนกแก้ว
นกขุนทอง แต่ไม่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
ประมาณว่าท่องจำเก่งอย่างเดียว
แต่ถ้าให้ปรับใช้หรือถามคำถามที่ให้ตอบแบบไม่ได้ให้ตอบตรงประเด็น
แต่ให้ตอบแบบการนำไปใช้ ผู้เรียนจะไม่สามารถตอบคำถามได้เลย
เพื่อนเวียดนามบางคนบอกผู้เขียนว่า
การที่นักเรียนเวียดนามได้รับรางวัลคณิตศาสตร์โอลิมปิคนั้น
เป็นเพราะว่านักเรียนเหล่านั้นท่องจำเก่ง จำสูตรคณิตศาสตร์ได้แม่นยำทุกสูตร
ถ้าใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษก็จะเรียกว่า จำกันได้เป็นแพ็ทเทิร์นเลย
และคณิตศาสตร์นั้นได้ซึมซับอยู่ในตัวของคนเวียดนามมานาน เริ่มตั้งแต่เมื่อเวียดนามเปิดประเทศและเริ่มทำการค้าขายเป็นหลัก
ดังนั้น การเรียนการสอนแบบคณิตคิดเร็วจึงถูกสั่งสมอยู่ในความคิดของเวียดนามตามรูป
แบบของการเรียนแบบท่องจำ กล่าวคือต้องแม่นยำในตัวเลขและข้อมูลเป็นหลักด้วย
อย่างไรก็ตาม การเรียนแบบท่องจำให้เก่งนั้นอาจจะได้ผลดีในบางด้าน
อย่างเช่นการเรียนคณิตศาสตร์ของคนเวียดนาม เป็นต้น
แต่อาจจะไม่สามารถเอาไปใช้ในการเรียนในสาขาอื่นๆ เพราะในปัจจุบันเกิดปัญหาว่า
นักศึกษาที่เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้คะแนนสูงๆ นั้น เก่งเพราะท่องจำเก่งอย่างเดียว
แต่เมื่อเริ่มต้นทำงาน ไม่สามารถที่จะทำงานได้ ต้องเริ่มต้นใหม่ ต้องเรียนรู้ใหม่
เพราะไม่สามารถนำความรู้ที่ตัวเองได้รับในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยมาปรับใช้
ในการทำงาน รวมทั้งการใช้ชีวิตประจำวันได้ ปัญหาดังกล่าว เกิดมาจาก
การที่หลักสูตรการเรียนของเวียดนามยังเน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ
หรืออาจจะมีการฝึกปฏิบัติ แต่ปฏิบัติค่อนข้างน้อย ดังนั้น เมื่อเรียนทฤษฎีเป็นหลัก
ผู้เรียนจึงต้องเรียนแบบท่องจำเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่า
ข้อเท็จจริงของเนื้อหาที่เรียนนั้นคืออะไร เพื่อนเวียดนามของผู้เขียนให้ข้อมูลว่า
การเรียนแบบท่องจำหรือห็อกแหว็ตนี้
เรียกได้ว่าเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่งของการศึกษาของเวียดนามในปัจจุบันนี้เลยก็ ว่าได้
แม้ว่ากระทรวงการศึกษาและการฝึกอบรมของเวียดนามจะรับทราบปัญหาดังกล่าวแต่ก็
ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้
นักศึกษาหลายคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยไม่สามารถนำความรู้ที่ได้จากการเรียนใน
สาขาของตนไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน ดังนั้น
จึงจำเป็นต้องเสียเวลาเพื่อไปเรียนปริญญาตรีอีกใบเพื่อให้สอดคล้องกับการทำ
งานของตน แทนที่จะยกระดับของตนโดยการเรียนปริญญาโท
แต่กลับต้องใช้เวลาเรียนปริญญาตรีเพิ่มอีกหนึ่งใบในอีกสาขาวิชาหนึ่ง
|
|
คอมเม้นทั้งหมด: 1 | |
0
| |