18:12:02 "นครรัฐวาติกัน" ประเทศเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก!!! |
นครรัฐวาติกันเป็นประเทศเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่อยู่ใจกลางกรุงโรม มีกำแพงล้อมรอบเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ชื่ออย่างเป็น ทางการของประเทศนี้คือ Holy See คำว่า see เป็นศัพท์ทางคริสตศาสนา น่าจะ แปลว่า ศาสนจักร (แต่ผมไม่แน่ใจนะครับ ผิดถูกแนะนำได้ครับ) ประเทศนี้เกิดขึ้น ได้ไม่นานในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย เดี๋ยวค่อย ๆ เล่าให้ฟังต่อไปครับ สิ่งที่น่าสนใจอันดับหนึ่งก็คือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และลานด้านหน้า จักรพรรดิคอนสแตนติน ที่รับเชื่อศาสนาคริสต์ได้สร้างวิหารขึ้นที่ตรงนี้เป็นครั้งแรกในคริสตศตวรรษที่ 4 แต่วิหารก็ เสื่อมโทรมและพังทลายลงจนอีกหนึ่งพันปีต่อมาได้มีการสร้างมหาวิหารหลังปัจจุบันขึ้นมา แทนที่ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินหลายท่าน แต่ส่วนใหญ่จะให้เครดิตแก่มิเคลันเจโลที่มี ส่วนสำคัญในการก่อสร้างโดยเฉพาะยอดโดมที่สวยงาม... ส่วนลานขนาดมหึมาด้านหน้ากลับเป็นผลงานของศิลปินรุ่นหลังที่ชื่อแบร์นินี (Bernini) ผู้ออกแบบน้ำพุต่าง ๆ รอบกรุงโรม เชื่อกันว่าตัวมหาวิหารสร้างบนที่ซึ่งเซนต์ปีเตอร์หรือที่รู้จัก ในบ้านเราว่านักบุญเปโตรถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนแบบกลับหัวลงในยุคโรมันโบราณ ลานแห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าปิแอสซ่า ซานพิเอโตร (Piazza San Pietro) สร้างเป็นรูปวงรีล้อมรอบด้วยเสา 284 ต้น บนหลังคามีรูปปั้นของนักบุญ 96 องค์ กลางลานมีเสาโอบิลิสก์ (Obelisk) อายุเก่าแก่กว่า 2000 ปี ลานแห่งนี้ในช่วงพิธี สำคัญทางคริสต์ศาสนาจะเป็นที่ชุมนุมของศาสนิกชนจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก... ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ต้องผ่านกระบวนการตรวจตรา อย่างละเอียด แล้วถ้าไปในช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือเทศกาลสำคัญทางศาสนาก็ต้องต่อ แถวยาวมาก ซึ่งการต่อแถวเพื่อเข้าชมอะไรก็ตามในประเทศอิตาลีถือเป็นของธรรมดา สิ่งสำคัญภายในตัววิหารคือรูปประติมากรรมหินอ่อนอันมีชื่อเสียงของมิเคลันเจโล่ ชื่อว่า Pieta ซึ่งเป็นรูปของพระแม่มารีประคองร่างของพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์ บนกางเขนไว้บนตัก เป็นรูปแกะสลักซึ่งสื่อถึงอารมณ์ความรักของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง จะเล่าถึงประวัติความเป็นมาของประเทศนี้ซักหน่อย ก่อนอื่นคงต้องท้าวความไปถึงเรื่องของการรวมชาติของอิตาลี หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายลง ดินแดนอิตาลีได้ถูกแบ่งแยกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย มีการปกครองแบบนครรัฐอย่างยาวนานเป็นเวลากว่าพันปี กรุงโรมนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของศาสนจักรซึ่งมีพระสันตปาปาเป็นประมุข (คำว่า "ปาปา" ในสันตปาปาเป็นคำมาจากภาษาทางตะวันตกเพราะคนอิตาลีเองเรียกพระสันตปาปาว่า "papa" ก็นึกว่าเป็นคำในภาษาไทยมาตลอด) ตอนที่มีการรวมประเทศเกิดขึ้น ทางกองทัพต้องการได้กรุงโรมเป็น เมืองหลวงเพราะความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์และศาสนา กองทัพของการิบัลดีสามารถยึดกรุงโรมได้ พระสันตปาปา จึงหลบหนีเข้าไปอยู่ในวาติกันและขังตัวเองอยู่ในนั้นไม่ยอมออกมาร่วมสังฆกรรมกับประเทศเกิดใหม่นี้ เรียกว่าคว่ำบาตร กันเลยทีเดียว (คำนี้มีที่มาจากศาสนาพุทธ คือถ้าพระสงฆ์ต่อต้านฆราวาสคนใด ท่านจะไม่รับบาตรจากฆราวาสผู้นั้นโดย การคว่ำบาตรเมื่อเดินผ่าน) พระสันตปาปาในยุคนั้นขังตัวเองอยู่แต่ในวาติกันเป็นเวลายาวนานถึง 68 ปี จนกระทั่งมุสโซลินี เซ็นสัญญากับพระสันตปาปาในปี ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) โดยการยินยอมให้นครรัฐวาติกันเป็นประเทศอิสระ มีอำนาจใน การปกครองตนเอง ส่วนทางวาติกันก็ยอมรับประเทศอิตาลีนี้เป็นครั้งแรก... ทางวาติกันเองได้จัดตั้งกองทหารเล็กๆ ขึ้นมา เรียกว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของพระสันตปาปา เรียกว่า Swiss guards มีประมาณร้อยนาย ทหารพวกนี้เป็นชาวสวิสทั้งหมด (เรื่องอะไรจะเอาทหารอิตาลีมาเป็นบอดี้การ์ด เดี๋ยววันดีคืนดีรัฐบาล เปลี่ยนใจคิดจะรวมประเทศก็เสร็จน่ะสิ ว่าแล้วก็เอาชายหนุ่มจากสวิสซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางมาตลอดมาเป็นทหาร คุ้มครองดีกว่า) กองทหารนี้จัดตั้งขึ้นราวคริสตศตวรรษที่ 15 และทหารในยุคปัจจุบันก็ยังคงแต่งกายในเครื่องแบบย้อน ยุคเหมือนในสมัยยุคกลางอยู่ สำหรับนักท่องเที่ยวเห็นแล้วก็แปลกตาดี อยากจะเข้าไปถ่ายรูปด้วย ใครไปขอถ่ายรูปด้วย จะโดนตะเพิดออกมาทันที เพราะเขาถือว่าเขาเป็นทหารไม่ใช่ตัวตลกในละครสัตว์ ใครจะถ่ายก็ต้องแอบถ่ายโดยดึงซูม เข้าไปเอง ไม่มีการมาโพสท่าให้ถ่ายรูปเป็นเด็กขาด (ดุมาก ขอบอก) ที่สุดท้ายในโรมที่พลาดไม่ได้คือพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican museum) ถึงแถวจะยาวแค่ไหน ถึงค่าเข้าจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม ถ้ามีเวลาซักครึ่งค่อนวันที่โรม ก็ควรจะหาโอกาสมาชมให้ได้เพราะ เป็นที่รวมของงานศิลปะระดับโลกมากมาย มีทั้งมัมมี่และงานประติมากรรมจากอียิปต์ รูปแกะสลักหินอ่อน จากยุคกรีกโรมันโบราณ รวมทั้งภาพวาดแบบเฟรสโก้จากศิลปินชื่อดังโดยเฉพาะมิเคลันเจโลและราฟาเอล ภาพวาดเฟรสโก้ภาพนี้เป็นหนึ่งในผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ชื่อว่า School of Athens เป็น ผลงานของราฟาเอล เขาวาดภาพนี้ขึ้นมาจากจินตนาการโดยการนำนักคิด นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์และ นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของกรีก มารวมไว้ในภาพเดียวกัน เช่น พลาโต้ อริสโตเติล ยุคลิด พิธากอรัส พโตเลมี อาร์คิมีดิส ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะอยู่คนละยุคคนละสมัย แต่มารวมกันได้ในจินตนาการของราฟาเอล ผู้ซึ่งวาดภาพนี้ในวัยหนุ่มเพียง 27 ปี... ศูนย์กลางของภาพนี้แสดงถึงนักปรัชญากรีกที่สำคัญ 2 ท่านคือพลาโต้และอริสโตเติ้ล ท่านหลังเป็นลูกศิษย์ของท่านแรก แต่เสนอแนวคิดเชิงปรัชญาแตกต่างกัน ให้สังเกต ว่าพลาโต้ชี้นิ้วขึ้นฟ้าและอริสโตเติ้ลคว่ำฝ่ามือลงดิน... เนื่องจากว่าในสมัยที่ราฟาเอลวาดรูปนี้ เป็นเวลากว่าสองพันปีหลังยุคของนักปรัชญาเหล่านี้ เขาจึงใช้หน้าตาของศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นเป็นแบบให้กับนักปรัชญาหลายๆ คน เช่น รูปนี้ว่ากันว่าหน้าพลาโต้จริงๆ คือหน้าของลีโอนาร์โด้ ดาร์วินชี... แต่ห้องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือห้องซิสทีน (Sistine Chapel) ซึ่งใครที่มาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ต่างก็ ต้องการชมห้องนี้ให้ได้ ห้องนี้ใช้เป็นที่ประชุมของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกพระสันตปาปาองค์ต่อไป และจะไม่มีใครออกจากห้องนี้จนกว่ากระบวนการเลือกจะเสร็จสิ้นลง แต่สิ่งที่คนเข้ามาชมคือ ภาพวาดเฟรสโก้ฝีมือของมิเคลันเจโล พระสันตปาปาจูเลียสที่สองได้ว่าจ้างศิลปินชาวฟลอเรนซ์ ผู้นี้ให้วาดภาพเฟรสโก้บนเพดานของห้องนี้ มิเคลันเจโลใช้เวลาถึง 4 ปี กินนอนอยู่บนนั่งร้านเพื่อ วาดภาพปูนเปียกเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปฐมกาล (Genesis) ตั้งแต่การสร้างโลก สร้างมนุษย์เพศชาย (Adam) สร้างมนุษย์เพศหญิง (Eve) จากซี่โครงของผู้ชาย อีฟทรยศต่อ พระเจ้าจนถูกขับออกจากสวนอีเดน และภาพน้ำท่วมโลก รวมทั้งหมด 9 ภาพ... รูปที่ออกจะคุ้นตาที่สุดคือรูป The Creation เป็นฉากที่พระเจ้าสร้างอาดัม มนุษย์คนแรกขึ้นมา มองเห็นไหมครับว่าอยู่ตรงไหนในรูปข้างบน... 4 ปีต่อมา มิเคลันเจโลได้ถูกว่าจ้างให้กลับมาวาดภาพที่ห้องนี้อีกครั้ง เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชื่อว่า วันพิพากษา (The Last Judgement) เป็นภาพที่เมื่อถึงวันสิ้นสุดโลก พระเจ้า (พระเยซูในรูป) จะเสด็จกลับลงมาและพิพากษามนุษย์แต่ละคนว่าใครควรจะขึ้นสวรรค์ ใครควรจะลงนรก ภาพนี้ อยู่บนผนังกำแพงด้านหนึ่งเต็มๆ ของห้อง... ศูนย์กลางของภาพคือพระเยซูคริสต์ ซึ่งวาดขึ้นตามสไตล์ของมิเคลันเจโล แต่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาจักรของวาติกันตามสนธิสัญญาที่มุสโสลินีได้ให้ไว้ จะมีทางเดินลับเชื่อมระหว่างปราสาทมนุษย์ผู้ชายจะล่ำ ๆ หนา ๆ กล้ามโต ๆ เดี๋ยวคงได้เห็นอีกเยอะครับ ออกจากวาติกันมา จะต้องเห็นปราสาทแห่งนี้ที่ชื่อว่า Castel Sant'Angelo ถึงจะไม่ได้อยู่ในกำแพงวาติกัน แห่งนี้กับพระราชวังของพระสันตปาปาเพื่อเอาไว้หลบภัยหากศัตรูคิดจะมาจับตัวพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ |
|
คอมเม้นทั้งหมด: 0 | |