Friday, 22 November 2024, 03:54:41
ยินดีต้อนรับ, Guest
หน้าหลัก » 2012 » July » 8 » "นครรัฐวาติกัน" ประเทศเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก!!!
18:12:02
"นครรัฐวาติกัน" ประเทศเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก!!!
นครรัฐวาติกันเป็นประเทศเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่อยู่ใจกลางกรุงโรม 
มีกำแพงล้อมรอบเกือบทุกด้าน ยกเว้นด้านมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ชื่ออย่างเป็น
ทางการของประเทศนี้คือ Holy See คำว่า see เป็นศัพท์ทางคริสตศาสนา น่าจะ
แปลว่า ศาสนจักร (แต่ผมไม่แน่ใจนะครับ ผิดถูกแนะนำได้ครับ) ประเทศนี้เกิดขึ้น
ได้ไม่นานในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเล็กน้อย เดี๋ยวค่อย ๆ เล่าให้ฟังต่อไปครับ
 

สิ่งที่น่าสนใจอันดับหนึ่งก็คือมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์และลานด้านหน้า จักรพรรดิคอนสแตนติน
ที่รับเชื่อศาสนาคริสต์ได้สร้างวิหารขึ้นที่ตรงนี้เป็นครั้งแรกในคริสตศตวรรษที่ 4 แต่วิหารก็
เสื่อมโทรมและพังทลายลงจนอีกหนึ่งพันปีต่อมาได้มีการสร้างมหาวิหารหลังปัจจุบันขึ้นมา
แทนที่ ซึ่งเป็นผลงานของศิลปินหลายท่าน แต่ส่วนใหญ่จะให้เครดิตแก่มิเคลันเจโลที่มี
ส่วนสำคัญในการก่อสร้างโดยเฉพาะยอดโดมที่สวยงาม...


ส่วนลานขนาดมหึมาด้านหน้ากลับเป็นผลงานของศิลปินรุ่นหลังที่ชื่อแบร์นินี (Bernini) 
ผู้ออกแบบน้ำพุต่าง ๆ รอบกรุงโรม เชื่อกันว่าตัวมหาวิหารสร้างบนที่ซึ่งเซนต์ปีเตอร์หรือที่รู้จัก
ในบ้านเราว่านักบุญเปโตรถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงกางเขนแบบกลับหัวลงในยุคโรมันโบราณ 


ลานแห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าปิแอสซ่า ซานพิเอโตร (Piazza San Pietro) 
สร้างเป็นรูปวงรีล้อมรอบด้วยเสา 284 ต้น บนหลังคามีรูปปั้นของนักบุญ 96 องค์ 
กลางลานมีเสาโอบิลิสก์ (Obelisk) อายุเก่าแก่กว่า 2000 ปี ลานแห่งนี้ในช่วงพิธี
สำคัญทางคริสต์ศาสนาจะเป็นที่ชุมนุมของศาสนิกชนจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลก... 


ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ต้องผ่านกระบวนการตรวจตรา
อย่างละเอียด แล้วถ้าไปในช่วงฤดูท่องเที่ยวหรือเทศกาลสำคัญทางศาสนาก็ต้องต่อ
แถวยาวมาก ซึ่งการต่อแถวเพื่อเข้าชมอะไรก็ตามในประเทศอิตาลีถือเป็นของธรรมดา 


สิ่งสำคัญภายในตัววิหารคือรูปประติมากรรมหินอ่อนอันมีชื่อเสียงของมิเคลันเจโล่ 
ชื่อว่า Pieta ซึ่งเป็นรูปของพระแม่มารีประคองร่างของพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์
บนกางเขนไว้บนตัก เป็นรูปแกะสลักซึ่งสื่อถึงอารมณ์ความรักของแม่ได้อย่างลึกซึ้ง 


จะเล่าถึงประวัติความเป็นมาของประเทศนี้ซักหน่อย ก่อนอื่นคงต้องท้าวความไปถึงเรื่องของการรวมชาติของอิตาลี 
หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายลง ดินแดนอิตาลีได้ถูกแบ่งแยกเป็นเมืองเล็กเมืองน้อย มีการปกครองแบบนครรัฐอย่างยาวนานเป็นเวลากว่าพันปี กรุงโรมนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของศาสนจักรซึ่งมีพระสันตปาปาเป็นประมุข 
(คำว่า "ปาปา" ในสันตปาปาเป็นคำมาจากภาษาทางตะวันตกเพราะคนอิตาลีเองเรียกพระสันตปาปาว่า "papa" ก็นึกว่าเป็นคำในภาษาไทยมาตลอด) ตอนที่มีการรวมประเทศเกิดขึ้น ทางกองทัพต้องการได้กรุงโรมเป็น
เมืองหลวงเพราะความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์และศาสนา กองทัพของการิบัลดีสามารถยึดกรุงโรมได้ พระสันตปาปา
จึงหลบหนีเข้าไปอยู่ในวาติกันและขังตัวเองอยู่ในนั้นไม่ยอมออกมาร่วมสังฆกรรมกับประเทศเกิดใหม่นี้ เรียกว่าคว่ำบาตร
กันเลยทีเดียว (คำนี้มีที่มาจากศาสนาพุทธ คือถ้าพระสงฆ์ต่อต้านฆราวาสคนใด ท่านจะไม่รับบาตรจากฆราวาสผู้นั้นโดย
การคว่ำบาตรเมื่อเดินผ่าน) พระสันตปาปาในยุคนั้นขังตัวเองอยู่แต่ในวาติกันเป็นเวลายาวนานถึง 68 ปี จนกระทั่งมุสโซลินี
เซ็นสัญญากับพระสันตปาปาในปี ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) โดยการยินยอมให้นครรัฐวาติกันเป็นประเทศอิสระ มีอำนาจใน
การปกครองตนเอง ส่วนทางวาติกันก็ยอมรับประเทศอิตาลีนี้เป็นครั้งแรก... 


ทางวาติกันเองได้จัดตั้งกองทหารเล็กๆ ขึ้นมา เรียกว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัวของพระสันตปาปา เรียกว่า Swiss guards 
มีประมาณร้อยนาย ทหารพวกนี้เป็นชาวสวิสทั้งหมด (เรื่องอะไรจะเอาทหารอิตาลีมาเป็นบอดี้การ์ด เดี๋ยววันดีคืนดีรัฐบาล
เปลี่ยนใจคิดจะรวมประเทศก็เสร็จน่ะสิ ว่าแล้วก็เอาชายหนุ่มจากสวิสซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางมาตลอดมาเป็นทหาร
คุ้มครองดีกว่า) กองทหารนี้จัดตั้งขึ้นราวคริสตศตวรรษที่ 15 และทหารในยุคปัจจุบันก็ยังคงแต่งกายในเครื่องแบบย้อน
ยุคเหมือนในสมัยยุคกลางอยู่ สำหรับนักท่องเที่ยวเห็นแล้วก็แปลกตาดี อยากจะเข้าไปถ่ายรูปด้วย ใครไปขอถ่ายรูปด้วย
จะโดนตะเพิดออกมาทันที เพราะเขาถือว่าเขาเป็นทหารไม่ใช่ตัวตลกในละครสัตว์ ใครจะถ่ายก็ต้องแอบถ่ายโดยดึงซูม
เข้าไปเอง ไม่มีการมาโพสท่าให้ถ่ายรูปเป็นเด็กขาด (ดุมาก ขอบอก) 


ที่สุดท้ายในโรมที่พลาดไม่ได้คือพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican museum) ถึงแถวจะยาวแค่ไหน 
ถึงค่าเข้าจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม ถ้ามีเวลาซักครึ่งค่อนวันที่โรม ก็ควรจะหาโอกาสมาชมให้ได้เพราะ
เป็นที่รวมของงานศิลปะระดับโลกมากมาย มีทั้งมัมมี่และงานประติมากรรมจากอียิปต์ รูปแกะสลักหินอ่อน
จากยุคกรีกโรมันโบราณ รวมทั้งภาพวาดแบบเฟรสโก้จากศิลปินชื่อดังโดยเฉพาะมิเคลันเจโลและราฟาเอล 

ภาพวาดเฟรสโก้ภาพนี้เป็นหนึ่งในผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ชื่อว่า School of Athens เป็น
ผลงานของราฟาเอล เขาวาดภาพนี้ขึ้นมาจากจินตนาการโดยการนำนักคิด นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์และ
นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของกรีก มารวมไว้ในภาพเดียวกัน เช่น พลาโต้ อริสโตเติล ยุคลิด พิธากอรัส 
พโตเลมี อาร์คิมีดิส ซึ่งในชีวิตจริงอาจจะอยู่คนละยุคคนละสมัย แต่มารวมกันได้ในจินตนาการของราฟาเอล 
ผู้ซึ่งวาดภาพนี้ในวัยหนุ่มเพียง 27 ปี...


ศูนย์กลางของภาพนี้แสดงถึงนักปรัชญากรีกที่สำคัญ 2 ท่านคือพลาโต้และอริสโตเติ้ล 
ท่านหลังเป็นลูกศิษย์ของท่านแรก แต่เสนอแนวคิดเชิงปรัชญาแตกต่างกัน ให้สังเกต
ว่าพลาโต้ชี้นิ้วขึ้นฟ้าและอริสโตเติ้ลคว่ำฝ่ามือลงดิน... 

เนื่องจากว่าในสมัยที่ราฟาเอลวาดรูปนี้ เป็นเวลากว่าสองพันปีหลังยุคของนักปรัชญาเหล่านี้ 
เขาจึงใช้หน้าตาของศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นเป็นแบบให้กับนักปรัชญาหลายๆ คน  เช่น
รูปนี้ว่ากันว่าหน้าพลาโต้จริงๆ คือหน้าของลีโอนาร์โด้ ดาร์วินชี...


แต่ห้องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือห้องซิสทีน (Sistine Chapel) ซึ่งใครที่มาชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ต่างก็
ต้องการชมห้องนี้ให้ได้ ห้องนี้ใช้เป็นที่ประชุมของพระคาร์ดินัลเพื่อเลือกพระสันตปาปาองค์ต่อไป 
และจะไม่มีใครออกจากห้องนี้จนกว่ากระบวนการเลือกจะเสร็จสิ้นลง แต่สิ่งที่คนเข้ามาชมคือ 
ภาพวาดเฟรสโก้ฝีมือของมิเคลันเจโล พระสันตปาปาจูเลียสที่สองได้ว่าจ้างศิลปินชาวฟลอเรนซ์
ผู้นี้ให้วาดภาพเฟรสโก้บนเพดานของห้องนี้ มิเคลันเจโลใช้เวลาถึง 4 ปี กินนอนอยู่บนนั่งร้านเพื่อ
วาดภาพปูนเปียกเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับปฐมกาล (Genesis) ตั้งแต่การสร้างโลก 
สร้างมนุษย์เพศชาย (Adam) สร้างมนุษย์เพศหญิง (Eve) จากซี่โครงของผู้ชาย อีฟทรยศต่อ
พระเจ้าจนถูกขับออกจากสวนอีเดน และภาพน้ำท่วมโลก รวมทั้งหมด 9 ภาพ...


รูปที่ออกจะคุ้นตาที่สุดคือรูป The Creation เป็นฉากที่พระเจ้าสร้างอาดัม 
มนุษย์คนแรกขึ้นมา มองเห็นไหมครับว่าอยู่ตรงไหนในรูปข้างบน... 


4 ปีต่อมา มิเคลันเจโลได้ถูกว่าจ้างให้กลับมาวาดภาพที่ห้องนี้อีกครั้ง เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชื่อว่า 
วันพิพากษา (The Last Judgement) เป็นภาพที่เมื่อถึงวันสิ้นสุดโลก พระเจ้า (พระเยซูในรูป) 
จะเสด็จกลับลงมาและพิพากษามนุษย์แต่ละคนว่าใครควรจะขึ้นสวรรค์ ใครควรจะลงนรก ภาพนี้
อยู่บนผนังกำแพงด้านหนึ่งเต็มๆ ของห้อง... 


ศูนย์กลางของภาพคือพระเยซูคริสต์ ซึ่งวาดขึ้นตามสไตล์ของมิเคลันเจโล 
มนุษย์ผู้ชายจะล่ำ ๆ หนา ๆ กล้ามโต ๆ เดี๋ยวคงได้เห็นอีกเยอะครับ 


ออกจากวาติกันมา จะต้องเห็นปราสาทแห่งนี้ที่ชื่อว่า Castel Sant'Angelo ถึงจะไม่ได้อยู่ในกำแพงวาติกัน
แต่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาจักรของวาติกันตามสนธิสัญญาที่มุสโสลินีได้ให้ไว้ จะมีทางเดินลับเชื่อมระหว่างปราสาท
แห่งนี้กับพระราชวังของพระสันตปาปาเพื่อเอาไว้หลบภัยหากศัตรูคิดจะมาจับตัวพระองค์ ปัจจุบันใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ 



ขอบคุณที่มาของข้อมูล  http://webboard.radio.sanook.com/?topic=3183929 

หมวด: สาระน่ารู้ | Views: 2182 | เพิ่มโดย: i-Tuinui | Tags: นครรัฐวาติกัน ประเทศเอกราชที่มีขนาด | Rating: 0.0/0
คอมเม้นทั้งหมด: 0
ComForm">
avatar